วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ปัญหาความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่น




เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 9-10 และ 16-17 เมษายน 2005 ชาวจีนนับหมื่นได้พากันไปชุมนุมเดินขบวนต่อต้านญี่ปุ่นตามเมืองใหญ่ๆ ของจีน (ทำนองเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้) เหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนั้น พวกเขาต้องการอะไร จีนกับญี่ปุ่นมีเหตุแค้นเคืองอะไรกันหรือ มีผลประโยชน์ร่วมกันหรือไม่ และพวกเขาจะแก้ปัญหาความขัดแย้งกันได้หรือไม่เพียงใด บทความนี้จะวิเคราะห์ให้เห็นอย่างย่อๆ
1. การชุมนุมต่อต้านญี่ปุ่นในจีน
คนจีนผู้ชุมนุมเดินขบวนต่อต้านญี่ปุ่นในเมืองใหญ่ๆ (เช่นปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เทียนจิน เฉิงตู อู่หั่น กว่างโจว เซินเจิ้น เป็นต้น) ส่วนมากโบกสะบัดธงจีน ร้องเพลงชาติ ตะโกนคำขวัญ เป็นจังหวะจะโคน พอไปถึงสถานทูต สถานกงสุล บริษัทและห้างสรรพสินค้าญี่ปุ่น มักจะมีคนเลือดร้อนจำนวนหนึ่งล้ำแถวออกไปใช้สีป้ายตามหน้าประตู บ้างก็ใช้วัตถุขว้างปาอาคาร มีกระจกแตกและทรัพย์สินเสียหายประปรายตามสถานทูตและสถานกงสุลญี่ปุ่น พวกเขาต้องปะทะกับตำรวจรักษาความปลอดภัยที่ทำการห้ามปรามพอเป็นพิธี1
ในระหว่างนี้ คนจีนที่ใช้อินเตอร์เนตทั่วประเทศจำนวนมาก ยังรณรงค์ล่ารายชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องของพวกเขา ให้ช่วยกันต่อต้านลัทธิทหารนิยมญี่ปุ่นที่กำลังบิดเบือนประวัติศาสตร์ คว่ำบาตรไม่ซื้อสินค้าญี่ปุ่น ให้ปกป้องอธิปไตยเหนือหมู่เกาะเตี้ยวหยู คัดค้านความพยายามของญี่ปุ่นที่จะเข้าเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ซึ่งจีนเป็นหนึ่งใน 5 ประเทศที่อาจใช้สิทธิยับยั้งได้) ข่าวกระแสหนึ่งอ้างว่าพวกเขาได้รายชื่อมาแล้ว 25 ล้านคน2 ความจริง คนจีนที่มีอารมณ์ร่วมในการต่อต้านญี่ปุ่นคงจะมีไม่ต่ำกว่า 80 % ของผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว แต่จะเห็นด้วยกับการแสดงตัวอย่างไรนั้นเป็นคนละประเด็น
หนังสือพิมพ์โยมิอูริรายวัน (The Daily Yomiuri ซึ่งอ้างใน The Nation, April 15, 2005, 12A) ซึ่งสนับสนุนจุดยืนของรัฐบาลญี่ปุ่น ตำหนิทางการจีนว่า ตำรวจจีนไม่สนใจที่จะขัดขวางห้ามปรามกลุ่มบุคคลที่เข้าไปทำการขว้างปาสถานทูตญี่ปุ่น เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศคือ ละเมิด Vienna Convention on Diplomatic Relations
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน นายฉิน กัง ได้แถลงต่อผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 12 เมษายน ว่า การชุมนุมประท้วงญี่ปุ่นของคนจีน เป็นเรื่องการตอบโต้โดยอัตโนมัติของคนจีน ที่พวกเขาถูกเหยียดหยามโดยตำราเรียนประวัติศาสตร์ ที่บิดเบือนเกี่ยวกับการรุกรานของญี่ปุ่นในจีน ปกปิดอาชญากรรมของญี่ปุ่น และเทิดทูนการรุกรานของญี่ปุ่นต่อเพื่อนบ้าน เขาย้ำว่าเรื่องนี้จะอ้างว่าเป็นเรื่องภายในของญี่ปุ่นไม่ได้3
2. ปัญหาและความแตกต่างของมุมมองและผลประโยชน์
สัมพันธภาพจีน-ญี่ปุ่นเสื่อมทรามลงเรื่อยๆ ตั้งแต่นายโคอิซูมิ จุนอิชิโร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีปี 2001 พลังสันติภาพในญี่ปุ่นอ่อนตัวลง สวนทางกับการขยายอิทธิพลของพวกชาตินิยมฝ่ายขวาที่ส่งเสริมลัทธิทหารนิยม ทั้งในและนอกกลไกของรัฐ ซึ่งพวกนี้มีมุมมองและผลประโยชน์แตกต่างกับจีนในประเด็นที่สำคัญคือ
2.1 เรื่องตำราประวัติศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษา ซึ่งเป็นชนวนก่อให้เกิดการประท้วงในจีน (และเกาหลีใต้) อย่างอื้อฉาวในปัจจุบัน ความจริงการแก้ไขตำราประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น เป็นปัญหาเรื้อรังมาตั้งแต่ปี 1982 พวกชาตินิยมฝ่ายขวาญี่ปุ่นต้องการแสดงให้เห็นว่า ญี่ปุ่นมีอำนาจอธิปไตยในการเขียนประวัติศาสตร์ของตนเอง ลบภาพไม่ดีในอดีตของญี่ปุ่นออก เพื่อให้เยาวชนภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาติญี่ปุ่น การอนุมัติตำราประวัติศาสตร์ทุกครั้ง จะมีคนญี่ปุ่นที่ใฝ่สันติภาพร่วมกับชาวต่างชาติจับตาดู และทุกครั้งจะสร้างปัญหาความไม่พอใจให้แก่คนในประเทศที่เคยถูกญี่ปุ่นย่ำยี ครั้งล่าสุดที่เป็นปัญหาตึงเครียดระหว่างจีนกับญี่ปุ่นนั้น ก็มาจากคำอนุมัติของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2005 ที่ให้ใช้ตำราประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น 8 เล่มในระดับมัธยมศึกษา ซึ่งฝ่ายต่อต้านญี่ปุ่นพากันประณามว่าบิดเบือนความจริง ไม่พูดถึงความโหดร้ายของทหารญี่ปุ่นที่บังคับสาวจีนเอาไปปรนเปรอทางเพศบ้าง ไม่พูดถึงการฆ่าหญิงและเด็กด้วยความทารุณบ้าง มีอยู่ 5 เล่มที่พูดถึงการสังหารหมู่ที่เมืองหนานจิงว่าเป็น “เหตุการณ์” (incident) ธรรมดา4
ส่วนจีนที่ต่อต้านญี่ปุ่นก็มุ่งหวังให้ญี่ปุ่นต้องพูดความจริง ญี่ปุ่นเป็นหนี้จีนในทางประวัติศาสตร์ รัฐบาลญี่ปุ่นมีพันธะที่จะต้องบอกเล่าความจริงให้เด็กทราบ คนญี่ปุ่นในอนาคตจะได้ไม่ไปก่อกรรมทำเข็ญกับประเทศอื่นอีก
2.2 ผู้นำญี่ปุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรี นิยมไปทำพิธีเคารพดวงวิญญาณของทหารญี่ปุ่นที่ตายในสนามรบ รวมทั้งนายพลโตโจ้ ฮิเดกิ และคณะ ที่ถูกศาลอาชญากรระหว่างประเทศประหารชีวิตในฐานะเป็นอาชญากรสงครามด้วย5 นายกรัฐมนตรีโคอิซูมิ จุนอิชิโร ไปประกอบพิธีกรรมนี้มิได้ขาดตั้งแต่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2001 ทุกครั้งคนเกาหลีและคนจีนจะออกมาประท้วงและประณามญี่ปุ่น หาว่าผู้นำญี่ปุ่นปลุกวิญญาณลัทธิทหารนิยม เพราะทหารเหล่านั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความโหดเหี้ยมของญี่ปุ่นที่เข้าไปทำลายชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขา แต่รัฐบาลญี่ปุ่นเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของตน
2.3 เรื่องปัญหาการโต้แย้งกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะเตี้ยวหยู (ญี่ปุ่นเรียกว่าเซ็นกากุ) สำหรับจีนนั้นถือว่าหมู่เกาะนี้เป็นของจีนอย่างชัดเจน หมู่เกาะนี้อยู่ห่างจากไต้หวันไปทางเหนือเพียง 200 กิโลเมตร ญี่ปุ่นยึดไปพร้อมกับไต้หวันในปี 1895 เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องคืนเกาะไต้หวันให้กับจีนก็ต้องคืนหมู่เกาะเตี้ยวหยูด้วย ส่วนญี่ปุ่นนั้นได้สหรัฐฯ หนุนหลัง เมื่อยึดครองโอกินาวาของญี่ปุ่นอยู่ ก็เหมาเอาว่ายึดครองหมู่เกาะเซนกากุด้วย (ซึ่งความจริงในสมัยนั้นไม่มีคนหรือสิ่งก่อสร้างอยู่เลย) ขณะนี้ญี่ปุ่นใช้กำลังกองทัพเรือปกป้องอยู่ รัฐบาลจีนเรียกร้องให้มีการเจรจา ตกลงเรื่องนี้ตลอดมา แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า6
2.4 ปัญหาการสำรวจขุดเจาะหาน้ำมันและแก๊สในทะเลจีนตะวันออก (เหนือเกาะเตี้ยวหยู) ที่จริงนั้นปัญหาพรมแดนจีน-ญี่ปุ่นในน่านน้ำทะเลเกือบจะไม่มี ญี่ปุ่นอ้างพรมแดนโดยใช้หลักเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (economic exclusive zone) ส่วนจีนอ้างพรมแดนโดยใช้หลักไหล่ทวีป (continental shelf) ฝ่ายจีนได้อนุมัติให้บริษัทแก๊สเข้าไปทำการตั้งแต่ปี 2003 ญี่ปุ่นประท้วงขอให้จีนระงับการปฏิบัติการโดยให้เหตุผลว่าแก๊สซึ่งอยู่ใต้ทะเลในเขตญี่ปุ่น อาจไหลเข้าไปในเขตแดนจีนเพราะถูกดูด จีนมีท่าทีเพิกเฉยต่อคำทักท้วง ในวันที่ 13 เมษายน รัฐบาลญี่ปุ่นตอบโต้ โดยการประกาศอนุมัติให้บริษัทญี่ปุ่นไปทำการสำรวจแก๊สในเขตของตน ซึ่งฝ่ายจีนอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อน ฝ่ายจีนประท้วง แต่ฝ่ายญี่ปุ่นคงไม่สนใจ เพราะเป็นเวลาที่ความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นกำลังตึงเครียด เนื่องจากมีเหตุการณ์เดินขบวนต่อต้านญี่ปุ่น ดังได้กล่าวแล้ว7
2.5 ผลประโยชน์สำคัญอีกประการหนึ่งของญี่ปุ่นคือ ความปรารถนาที่จะมีที่นั่งถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เป้าประสงค์นี้จะสำเร็จได้ยากถ้าจีนไม่สนับสนุน (เพราะจีนมีสิทธิยับยั้งในฐานะหนึ่งใน 5 มหาอำนาจ) ก่อนหน้าการเดินขบวนประท้วงญี่ปุ่นในจีน เมื่อวันที่ 9-10 เมษายน ทางการจีนสงวนท่าทีเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่แล้วท่าทีของรัฐบาลก็เด่นชัดขึ้น เมื่อนายกรัฐมนตรีเวินเจียเป้าของจีนได้ประกาศที่กรุงนิวเดลฮีเมื่อวันที่ 12 เมษายนว่า “มีแต่ประเทศที่รู้จักเคารพความจริงในประวัติศาสตร์ และมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น ที่จะสามารถชนะใจประชาชน จนได้รับความไว้วางใจให้เข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบที่สูงขึ้นต่อประชาคมนานาชาติ”8 ณ ที่นั่น ผู้นำจีนได้เปิดเผยท่าทีของจีน ที่จะสนับสนุนอินเดียให้มีที่นั่งถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ
2.6 ปัญหาอื่นๆ ที่ฝ่ายจีนและฝ่ายญี่ปุ่นมีผลประโยชน์ขัดกันยังมีอีกมาก เช่น ปัญหาไต้หวันซึ่งญี่ปุ่นได้ร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการปกป้องไต้หวัน ซึ่งจีนถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจีน ญี่ปุ่นร่วมมือกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการสร้างอาณาจักรป้องกันขีปนาวุธ (Theatre Missile Defense) ซึ่งเริ่มแต่ปี 1999 ซึ่งมีเกาหลีเหนือเป็นเป้าที่เปิดเผย แต่ทราบกันดีว่ามีจีนเป็นเป้าหมายที่ปกปิด นอกจากนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นยังทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อจีน (โดยร่วมมือกับสหรัฐฯ) ในการจูงใจให้สหภาพยุโรประงับแผนการที่จะเลิกข้อห้ามขายอาวุธให้จีน ซึ่งประกาศใช้มาตั้งแต่เกิดกรณีวิกฤตเทียนอันเหมินเมื่อปี 1989 ฯลฯ9
3. ผลประโยชน์ร่วมกัน
ทั้งจีนและญี่ปุ่นต่างให้ความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ว่าเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ ในปี 2004 การค้าจีน-ญี่ปุ่นมีมูลค่ารวม 167,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มจากปีก่อน 25.7% จีนส่งออกไปยังญี่ปุ่นเป็นมูลค่า 73,500 ล้านเหรียญฯ (เพิ่ม 23.7%) จีนนำเข้าจากญี่ปุ่น 94,400 ล้านเหรียญฯ (เพิ่ม 27.3%) ญี่ปุ่นกลายเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีนแทนที่สหรัฐฯ ซึ่งครองอันดับหนึ่ง ในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา การลงทุนของญี่ปุ่นในจีนปี 2004 มีมูลค่า 5,450 ล้านเหรียญฯ นับเป็นอันดับ 4 ของจีน10
ถ้าความสัมพันธ์ทางการเมืองขัดแย้งกันถึงขั้นแตกหัก ย่อมกระทบถึงเรื่องการค้าและการลงทุนดังกล่าวด้วย นี่อาจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะเหนี่ยวรั้งมิให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นเสื่อมทรามลงถึงขั้นแตกหัก นอกจากนั้น ทั้งจีนและญี่ปุ่นคงจะอยากจะเห็นความร่วมมือกันในด้านการศึกษาดำเนินต่อไปตามปกติ รายงานข่าวของทางการจีนระบุว่าเมื่อสิ้นปี 2004 มีคนจีนศึกษาอยู่ในญี่ปุ่นถึง 70,000 คน11
4. การแก้ปัญหาระยะสั้น
มีข้อที่น่าสังเกตว่าทั้งภาครัฐและภาคเอกชนของจีนและญี่ปุ่นทั้งไม่อยากเห็นความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นตึงเครียดถึงขั้นแตกหัก ประเทศอื่นที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องก็ไม่อยากเห็นสภาพเช่นนั้นเช่นเดียวกัน
เมื่อนายโนบุตากะ มะชิมูระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น เดินทางไปกรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 17 เมษายน นั้น ท่านได้ประกาศก่อนออกเดินทางว่าจะไปขอให้จีนขอโทษ และชดใช้ค่าเสียหายที่สถานทูต สถานกงสุล และห้างร้านญี่ปุ่นในจีนถูกทุบและขว้างปา ท่านน่าจะทราบล่วงหน้าแล้วว่าจีนไม่มีอะไรที่ต้องขอโทษ (รัฐบาลจีนต้องรักษาน้ำใจของคนจีนพอๆ กับรัฐบาลญี่ปุ่นที่ต้องเอาใจคนญี่ปุ่น) อย่างไรก็ตาม ท่านก็ได้ถือโอกาสนั้นเชิญนายกรัฐมนตรีเวินเจียเป่าไปเยือนญี่ปุ่นด้วย อันนี้ก็เช่นกัน ท่านคงคาดล่วงหน้าได้ว่าจะไม่มีคำตอบ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น (จีนต้องรักษาหน้าตา) กระนั้นก็ตาม ญี่ปุ่นก็ได้ส่งสัญญาณให้จีนทราบว่าตนยังติดใจที่จะแก้ปัญหานี้โดยการเจรจา
ฝ่ายรัฐบาลจีนนั้น ก็ตกอยู่ในฐานะลำบาก อารมณ์ร่วมของมติมหาชนที่ต่อต้านญี่ปุ่นนั้นกำลังร้อนแรง ถ้าให้ตำรวจจับกุมฝูงชนที่ทำลายทรัพย์สินของญี่ปุ่น ประชาชนก็จะหันมาต่อต้านรัฐบาล แต่ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์ลุกลามมากขึ้น ก็เกรงว่าจะควบคุมไว้ไม่อยู่ วิธีการปฏิบัติต่อขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นของทางการจีน ก็คือประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมั่นใจในความสามารถของพรรคคอมมิวนิสต์และรัฐบาลจีน ในการจัดการอย่างเหมาะสมเกี่ยวกับความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่น สำนักงานความปลอดภัยสาธารณะได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 15 เมษายน ว่า การเดินขบวนหรือชุมนุมประท้วงจะต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานความปลอดภัยสาธารณะ มิเช่นนั้นจะถือว่าทำผิดกฎหมายและมีโทษ12
เกี่ยวกับการสำรวจ-ขุด-เจาะแก๊สธรรมชาติในบริเวณที่ยังเป็นกรณีพิพาทกันอยู่นั้น ทั้งจีนและญี่ปุ่นได้ออกมาแถลงในวันที่ 16 เมษายน ซึ่งมีข้อความสอดคล้องกันว่า จะหาทางตกลงกันด้วยการเจรจา (negotiation) หรือการปรึกษาหารือ (consultation) หรือการสนทนากัน (dialogue)
การตอบโต้การประท้วงของชาวจีนจากฝ่ายญี่ปุ่นก็ได้เกิดขึ้นแล้วโดยประปราย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งขว้างปาสถานกงสุลจีน ณ นครโอซากาแล้วเผาตัวเอง (ไม่ตาย) คาดว่าการประท้วงโดยฝูงชนของชาวจีนและชาวญี่ปุ่นจะคงมีต่อไป แต่โดยทั่วไปสื่อมวลชนของทั้งสองฝ่ายมิได้ออกมาปลุกระดมผู้คนให้ร่วมมือกันกระทำความรุนแรง ในทางตรงกันข้าม สื่อมวลชนของทางการจีน เกือบมิได้ออกข่าวการชุมนุมประท้วงเลย แต่สื่อมวลชนญี่ปุ่น (ซึ่งเป็นของเอกชน) พากันรายงานข่าวอย่างใกล้ชิด และตำหนิรัฐบาลจีนที่ไม่ยอมขอโทษญี่ปุ่นตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลตน
ในโลกไซเบอร์นั้นสงครามจีน-ญี่ปุ่นก็ได้ปะทุขึ้นแล้ว ส่วนใหญ่จีนจะเป็นฝ่ายรุก มีการปลุกระดมกันโดยใช้อีเมล์ ในวันที่ 13-14 เมษายน เว็บไซต์ของตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่น และสำนักงานป้องกันตนเองของญี่ปุ่นเกิดขัดข้อง พวกเขากล่าวหาว่าผู้ก่อการร้ายจีนส่งข้อมูลจำนวนมากไปโจมตี อย่างไรก็ตาม หากเป็นจริง ก็คงจะเป็นการกระทำของเอกชน เว็บไซต์ของทางการของทั้งสองประเทศ ยังไม่มีข้อความออกมาปลุกระดมอารมณ์ผู้คนให้ทำการใดๆ ต่อต้านอีกฝ่ายหนึ่ง ในทางตรงกันข้าม กลับมีข่าวว่าเว็บเอกชนบางแห่งในจีนที่ปลุกระดมคนต่อต้านญี่ปุ่นได้ถูกทางการปิดไปแล้ว
โอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะปรองดองกันนั้นมีมากกว่าการประจันหน้ากันด้วยกำลัง ด้วยความปรารถนาดีจากประเทศเจ้าภาพ ผู้นำของจีนและญี่ปุ่นอาจจะได้พบปะเจรจากันในโอกาสการประชุม ASEAN+3 หรือการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คงไม่มีประเทศใดในเอเชียที่อยากเห็นจีนกับญี่ปุ่นปะทะกันด้วยกำลัง นายกรัฐมนตรีโคอิซูมิอาจจะไปพบประธานาธิบดีหูจิ่นเทา ในการประชุมผู้นำเอเชีย-แอฟริกาที่จะจัดขึ้นในวันที่ 22 เมษายนนี้
สิ่งที่ญี่ปุ่นเรียกร้องจากจีนเฉพาะหน้ามี 2 ประการ ข้อแรกที่จะให้จีนขอโทษนั้นคงไม่มีทางเป็นไปได้ ญี่ปุ่นเองยังไม่ยอมขอโทษจีนเกี่ยวกับอาชญากรรม ที่ส่งทหารข้ามน้ำข้ามทะเลไปฆ่าฟันชาวจีนตายมากที่สุดในโลกในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนข้อที่สองคือ การชดใช้ทรัพย์สินที่ถูกทำเสียหาย โดยฝูงชนที่ชุมนุมต่อต้านญี่ปุ่นนั้น จีนอาจจะยอมชดใช้ให้ เพราะเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพิเศษทางการทูต แต่ญี่ปุ่นจะต้องมีอะไรตอบแทนบ้าง คือนอกจากจะต้องชดใช้ค่าเสียหายของสถานทูตและสถานกงสุลจีนในญี่ปุ่นแล้ว (ซึ่งรายงานข่าวระบุว่าเสียหายน้อยในขณะที่เขียนบทความนี้อยู่) ยังจะต้องมีอะไรทดแทนอย่าให้จีนเสียศักดิ์ศรีในสายตาของประชาชนจีนด้วย มิฉะนั้น จีนอาจจะอ้างว่าตำรวจจีนได้ปกป้องทรัพย์สินของรัฐและเอกชนญี่ปุ่นเต็มที่แล้ว ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายก่อเหตุยั่วยุให้เกิดปัญหา จะเรียกร้องค่าชดเชยก็ให้ไปฟ้องร้องเอาแก่ผู้กระทำผิดเอง
5. การแก้ปัญหาระยะยาว : ปัญหาและข้อคิด
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่นนั้นมีแนวโน้มที่จะไปในทางเลวร้ายลง และการแก้ไขทำได้ค่อนข้างยาก แม้ว่าบรรดาผู้นำลัทธิทหารนิยมในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองของญี่ปุ่นจะล่วงลับกันไปหมดแล้ว แต่ลัทธิทหารนิยมยังไม่ตาย เพียงแต่สลบไปนาน 30-40 ปี ขบวนการสันติภาพในญี่ปุ่นซึ่งค่อนข้างจะเข้มแข็งควบคู่กันของเยอรมนีในช่วงปี 1945-1980 นั้น ซบเซาไปตามกาลเวลา โดยสหรัฐอเมริกาเคยเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมลัทธิทหารนิยมในญี่ปุ่น จนทำลายพลังสันติภาพไปได้ในที่สุด
โคอิซูมิ จุนอิชิโร นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นปัจจุบัน เป็นผู้นำทางใจของลัทธิทหารนิยมและชาตินิยมของญี่ปุ่นผสมกัน ตั้งแต่ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2001 ท่านได้ไปทำพิธีเคารพศพของทหารญี่ปุ่นที่ศาลเจ้ายาสุกุนิทุกๆ ปี ซึ่งถูกตีความโดยประชาชนในประเทศที่เคยถูกทหารญี่ปุ่นกระทำย่ำยีว่า ท่านเทิดทูนวิญญาณลัทธิทหารนิยม การอนุมัติให้ใช้ตำราประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นระดับมัธยมศึกษา ซึ่งลดข้อความที่กล่าวโทษหรือหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงความโหดร้ายของทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกการเฟื่องฟูของลัทธิทหารนิยมอีกระดับหนึ่ง การส่งทหารไปช่วยสหรัฐฯ ปฏิบัติการในอิรักก็ดี การยกเลิกข้อห้ามการขายอาวุธญี่ปุ่นให้ต่างประเทศก็ดี ล้วนแต่เกิดขึ้นในสมัยนี้ทั้งสิ้น
ปัญหามีว่า จีนมีเหตุผลเพียงพอที่จะกลัวภัยคุกคามจากญี่ปุ่นหรือไม่ คนจีนมีจิตวิญญาณเป็นนักประวัติศาสตร์ พวกเขาสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินด้วยน้ำมือของลัทธิทหารนิยมญี่ปุ่นมากที่สุดในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาย่อมมีเหตุผลที่จะหวาดกลัวภัยจากญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ยอมแข่งขันกับญี่ปุ่นในการระดมเงินเพิ่มงบประมาณทางทหาร (งบประมาณทางทหารของญี่ปุ่นมากกว่าของจีนประมาณ 5 เท่า) ยิ่งกว่านั้น ญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรกับอภิมหาอำนาจสหรัฐฯ ซึ่งคุกคามความมั่นคงของจีนอยู่เนืองๆ อีกด้วย
ถ้าผู้นำญี่ปุ่นมีทัศนคติเช่นเดียวกับผู้นำเยอรมนี ปัญหาความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่นย่อมจะแก้ไขได้โดยง่าย ผู้นำเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่สองทุกคน ไม่เคยลังเลใจที่จะประณามพวกนาซีเยอรมัน พวกเขายินดีที่จะไปขอโทษผู้รับเคราะห์จากภัยสงคราม ที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้ทำเอาไว้ทุกแห่งหน ด้วยเหตุนี้เยอรมนีปัจจุบันจึงได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากชุมชนระหว่างประเทศ แต่ผู้นำญี่ปุ่นกลับทำตัวตรงกันข้าม ไม่ยอมขอโทษ (apology) ชาติที่ถูกญี่ปุ่นย่ำยี อย่างดีก็พูดได้แต่คำว่าเสียใจ (remorse)
หากจะมองโลกในแง่ดี ก็หวังว่าทั้งจีนและญี่ปุ่นคงจะมีความอดทนต่อความขัดแย้ง ที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่อาจจะเกิดขึ้นมาอีกในอนาคต เพื่อปล่อยให้เวลาเป็นตัวช่วยแก้ไขปัญหา คือพวกเขาจะถูกเงื่อนไขบังคับให้เรียนรู้ถึงการอยู่ร่วมกัน ในท่ามกลางความขัดแย้งเกี่ยวกับผลประโยชน์ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เมื่อเวลาผ่านไปคนรุ่นใหม่ของทั้งสองประเทศ คงจะมีทัศนะแตกต่างไปจากคนรุ่นปัจจุบัน และการปฏิสัมพันธ์กันในทางเศรษฐกิจซึ่งเพิ่มพูนขึ้นเป็นลำดับ จะช่วยลดกำแพงพรมแดนและสลายลัทธิชาตินิยมอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนถึงขั้นลืมไปว่ารัฐบาลของพวกเขาอยู่ที่ไหน
------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น